ฝรั่งเศส ประวัติศาสตร์ ในวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี นับเป็นวันสำคัญที่ผู้คนทั่วโลกต่างเข้าร่วมการเฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศศ อันกลายไปเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศฝรั่งเศส นั่นคือเหตุการณ์การทลายคุกบาสตีย์ เมื่อปี ค.ศ. 1789 การลุกฮือที่ลือเลื่องและเป็นหมุดหมายสำคัญในฐานะของเหตุการณ์ที่จุดประกายการปฏิวัติฝรั่งเศส
หากแต่คำถามที่น่าสนใจก็คือการปฏิวัติฝรั่งเศสนั้น หน้าตาของมันเป็นอย่างไร มันส่งผลต่อการก่อรูปทางสังคมในยุโรปและโลกใบนี้อย่างไร และการปฏิวัติฝรั่งเศสนี้มีความสำคัญอย่างไรต่อขบวนการเคลื่อนไหวของชนชั้นแรงงานในปัจจุบัน? ในบทความของวารสาร Jacobin ชิ้นนี้ เราจะพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ในโอกาสครบรอบการทลายคุกบาสตีย์ ฝรั่งเศส ภาษา
ฝรั่งเศส ประวัติศาสตร์ การปฏิวัติฝรั่งเศสคืออะไร?
ฝรั่งเศส ประวัติศาสตร์ การปฏิวัติฝรั่งเศสนับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขนานใหญ่ ในปี ค.ศ. 1856 นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส นามว่า อเล็กซิส เดอ ท็อกเกอวิลล์ (Alexis de Tocqueville) ได้ศึกษาเอกสารที่รู้จักกันในชื่อ “บันทึกหนังสือร้องทุกข์” (grievance book) อันเป็นเอกสารที่รวบรวมข้อเรียกร้องของกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมฝรั่งเศสซึ่งได้เรียกร้องต่อสภาฐานันดรที่เปิดประชุมในปี ค.ศ. 1789 ซึ่งองค์กรนี้เองจะกลายไปเป็นองค์กรที่บ่อนทำลายระบอบของกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 และนำฝรั่งเศสเข้าสู่การปฏิวัติ ท็อกเกอร์วิลล์เขียนถึงสิ่งที่เขาค้นพบจากการศึกษานเอกสารนี้เอาไว้ว่า
กระบวนการปฏิวัติเริ่มต้นด้วยการลุกฮือของประชาชนในฤดูร้อนปี 1789 และการล่มสลายของ Bastille ในวันที่ 14 กรกฎาคมของปีเดียวกัน ก่อนการปฏิวัติจะนำมาซึ่งการยกเลิกอำนาจเด็ดขาดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 การยกเลิกระบอบกษัตริย์ และเพื่อขจัดอิทธิพลของคริสตจักรคาทอลิกออกจากขอบเขตทางการเมือง
การปรับโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ในสังคมฝรั่งเศสได้ปลดปล่อยกระบวนการที่ยิ่งใหญ่สองมิติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสร้างกระบวนการที่ก้าวหน้าและปฏิวัติ และในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาตรงกันข้าม ซึ่งหมายความว่าในขณะที่กระบวนการปฏิวัติยังคงดำเนินต่อไป อำนาจของชนชั้นผู้มั่งคั่งไม่ต้องการให้สิทธิพิเศษทางชนชั้นของพวกเขาถูกคุกคามจากการปฏิวัติ ดังนั้นสมาชิกจึงพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะยกเลิกการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าอย่างรุนแรงซึ่งเกิดจากการปฏิวัติ ฉันพยายามอย่างดีที่สุดที่จะรวมผลประโยชน์ของชนชั้นและรวมผลประโยชน์ของรูปแบบทางสังคมที่แตกต่างกันมากไว้บนรากฐานที่มั่นคง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและไม่มั่นคงทางสังคมนี้เองที่นโปเลียนปรากฏตัวบนเวทีการเมืองพร้อมกับการก่อตั้งรัฐโบนาปาร์ติสต์ผ่านสงครามและการสร้างจักรวรรดิฝรั่งเศส สิ่งนี้ทำให้ฝรั่งเศสถูกพันธมิตรยุโรปล้อมและยึดครองในที่สุด จากนั้นระบอบกษัตริย์ก็ได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งในฝรั่งเศส
สภาพสังคมฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติเป็นอย่างไร?
สภาพสังคมฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติ ประชาชนจำนวนมากของฝรั่งเศสอาศัยอยู่อย่างยากจนข้นแค้น โดยมีโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากหรือยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้นน้อยมาก ชาวนาในชนบทของฝรั่งเศสอาศัยอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของชนชั้นขุนนาง ภายใต้ความสัมพันธ์แบบระบบศักดินา (Feudalism) ที่ชนชั้นขุนนางมีอำนาจเหนือชาวนา ในปี ค.ศ. 1901 ฌ็อง ฌอเรส (Jean Jaurès) ได้อธิบายถึงสภาพความสัมพันธ์เศรษฐกิจในชนบทของฝรั่งเศสช่วงก่อนการปฏิวัติเอาไว้ดังนี้
ชาวนาในชนบทถูกเรียกร้องให้จ่ายค่าธรรมเนียมในแทบทุกกิจกรรมที่พวกเขาทำ … สิทธิของขุนนางในระบอบศักดินาขยายตัวไปครอบคลุมแทยทุกอณูพื้นที่ของสังคม สิทธิของระบอบศักดินาเข้าไปมีอำนาจและครองสิทธิความเป็นเจ้าของเหนือทรัพยากรธรรมชาติ พืชทุกชนิดที่เติบโตจากดิน ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว ทุกสิ่งที่หายใจ […] กระทั่งเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่ในเตาอบขนมปังเก่าๆของชาวนา หากมันอยู่ในที่ดินของขุนนางก็ถือว่ามันเป็นของขุนนาง
สถานการณ์นี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นทั่วไปในชนบทของฝรั่งเศส ดังจะเห็นได้จากบันทึกของอาเธอร์ ยัง ชาวนาชาวอังกฤษที่เดินทางผ่านชนบทของฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติ
ชาวนาที่ยากจนนั้นยากจนอย่างแท้จริง เด็ฏๆในชนบทสวมใส่เสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมและขาดกะรุ่งกะริ่งอย่างที่สุด และสำหรับเด็กบางคนนั้นพวกเขาไม่มีกระทั่งเสื้อผ้าจะสวมใส่ และดูเหมือนว่าถุงน่องหรือรองเท้าจะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่พวกเขาไม่อาจหามาสวมใส่ได้ หนึ่งในสามของที่ดินที่ข้าพเจ้าพบในดินแดนนี้ไม่ได้เพาะปลูกและถูกทิ้งร้างให้อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากแสนสาหัส ข้าพเจ้าสงสัยอย่างยิ่งว่ากษัตริย์ บรรดาเสนาบดี รัฐสภา และอาณาจักรนี้อธิบายกับประชาชนของเขาอย่างไร ที่ประชาชนต้องตกอยู่ภายใต้ความยากลำบากเช่นนี้ ผู้คนนับล้านที่ควรได้ใช้กำลังของเขาทำงานอย่างขยันขันแข็งกลับถูกลปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวและอดอยาก สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์อันน่าเกลียดชังอย่างที่สุด ร่วมกับระบอบศักดินาอันน่ารังเกลียดที่ให้อภิสิทธิ์แก่พวกชนชั้นขุนนาง ฝรั่งเศส 1998
ในขณะเดียวกัน ชีวิตของช่างฝีมือและมือปืนรับจ้างก็ลำบากเหมือนกัน การปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจฝรั่งเศสในเวลานั้นทำให้ระบบกิลด์ช่างฝีมืออ่อนแอลง การบั่นทอนความสามารถของช่างฝีมือในการควบคุมแรงงานวันทำงานของพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในเมืองได้หากมีเอกสารที่พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาได้รับการว่าจ้าง ชีวิตของพวกเขาถูกติดตามโดยทางการตลอดเวลา
นอกจากนี้ คลื่นของแรงงานข้ามชาติได้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาสู่ประชากรในกรุงปารีส นักประวัติศาสตร์ อีริก ฮาซาน ประมาณการว่าในปี พ.ศ. 2332 ประชากรอพยพมีประมาณ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในกรุงปารีส และประชากรผู้อพยพ: “พวกเขาต้องมีหลักฐานการเดินทางจากเขตต้นทางของพวกเขา หากไม่มีเอกสารเหล่านี้ พวกเขาจะถูกจัดประเภทเป็นคนจรจัดและถูกส่งไปยังพื้นที่ขอทานของสลัม”
ในขณะเดียวกัน ชนชั้นสูงและนักบวชรวมกันคิดเป็น 1.6% ของประชากรในประเทศ การฟื้นฟูชีวิตที่สะดวกสบาย ขุนนางหลายคนใช้ชีวิตอย่างหรูหราและส่งต่อความมั่งคั่งและสถานะของพวกเขาไปยังลูกหลาน คริสตจักรคาทอลิกเป็นเจ้าของประมาณ 8% ของทรัพย์สินส่วนตัวของประเทศ
แต่ไม่กี่ปีก่อนการปฏิวัติ สังคมฝรั่งเศสได้ให้กำเนิดกลุ่มชนชั้นใหม่ นั่นคือชนชั้นคนรวยหรือชนชั้นนายทุน เป็นกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งมากกว่าช่างฝีมือและชาวนาที่ร่ำรวย แต่ขาดอำนาจของขุนนาง พยายามที่จะแทนที่ขุนนางที่ลดลงของเวลา
สถานการณ์ก่อนการปฏิวัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน ระบบภาษีที่พัฒนาและนำมาใช้ในช่วงสงครามเจ็ดปีนั้นไม่เพียงพอที่จะจัดเก็บภาษีอีกต่อไป นักการเงินต่างชาติเริ่มเรียกร้องการชำระคืนหนี้ของราชอาณาจักรฝรั่งเศส นอกจากนี้ ภาคเกษตรกรรมของฝรั่งเศสประสบปัญหาจากพายุและความแห้งแล้งจนถึงปี 1788 และในที่สุดข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสก็นำไปสู่การหลั่งไหลของสินค้าอังกฤษ แย่งส่วนแบ่งตลาดจากอุตสาหกรรมฝรั่งเศส อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคืออุตสาหกรรมสิ่งทอของฝรั่งเศส
สถานการณ์ในฝรั่งเศสเลวร้าย และด้วยความกลัววิกฤตการณ์ทางการเงิน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงพยายามรีดไถภาษีจากประชาชนมากขึ้น ดำเนินนโยบายเก็บภาษีจากทุกกลุ่มชนชั้นทางสังคม